เทศน์เช้า

ทานเพื่อชีวิต

๑ พ.ค. ๒๕๔๔

 

ทานเพื่อชีวิต
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

หยุดจากโลกอยู่พักหนึ่ง เหมือนวันพระนี่ วันพระเป็นวันทำบุญกุศล วันพระเป็นวันหยุด ในสมัยก่อนโบราณเราหยุดวันพระ นี่มันไม่มีวันหยุด หยุดหาผลประโยชน์ใส่ตัว ผลประโยชน์ของโลกเขา ชีวิตเกิดมา เห็นไหม กว่าเราจะได้เกิดมานี่ บุญกุศลพาเกิด ต้องมีบุญกุศลพาเกิดนะ

ถ้าไม่มีบุญกุศลพาเกิด ดูสิ ดูสัตว์โลกมีมหาศาลนะ ในสัตว์โลกนี่ สัตว์ในวัฏสงสารนี่ มันเป็นที่เกิดที่ตายของจิต จิตเสวยภพชาติมันถึงจะได้ภพชาติหนึ่ง นี้เราเสวยภพชาติเป็นมนุษย์ เราจะได้เป็นมนุษย์นี่เราต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ มนุษย์สมบัติ ถึงได้มนุษย์สมบัติมา แล้วเราทำบุญกุศลต่อมนุษย์สมบัติของเราไง มนุษย์สมบัตินี่ถ้าไม่เกิดมนุษย์สมบัติ เห็นไหม เป็นอริยทรัพย์

ถ้าไม่มีการเกิดขึ้นมา ทรัพย์สมบัติของโลกมันก็เป็นอยู่ในโลกนี่ เราแสวงหาเห็นไหม ทรัพย์สมบัติที่ในโลกนี่มันเวียนไปเวียนมา มันเกิดขึ้นมา ใครมีปัญญาขึ้นมาก็หาได้ในโลก ถ้าหาในโลกมันก็เป็นของคนนั้น แล้วคนนั้นตายไปเป็นของใครล่ะ? ก็ทิ้งไว้ในโลกนั้น ทรัพย์สมบัตินี่เพราะเราเกิดมา มันถึงจะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเราไม่มี เราตายไปทรัพย์สมบัตินี้ก็อยู่ในโลกนั้น เพียงแต่มันถ่ายเทไปของแต่ละบุคคล มันสมมุติชั่วคราว ของประจำโลกเขา

มนุษย์สมบัติก็เหมือนกัน เราได้ธาตุมา ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ นี่เป็นเรื่องของโลกเขา แต่หัวใจที่พามาเกิดน่ะ มันมหัศจรรย์นะถ้าคิดถึงเรื่องมนุษย์นี่ เกิดในท้องพ่อท้องแม่ กว่าจะคลอดออกมา จากเด็กจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมานี่ ธาตุ ๔ ทำไมมันพัฒนาไปได้ล่ะ? ธาตุ ๔ มันเกิดมาจากก้อนเล็ก ๆ นะ เกิดมาจากน้ำใส ๆ ของพ่อของแม่เท่านั้นน่ะ ทำไมพัฒนามาเป็นมนุษย์ล่ะ?

เพราะอะไร? เพราะจิตดวงนี้สำคัญที่สุดเลย จิตปฏิสนธิในครรภ์ของมารดานี่ ตัวจิตปฏิสนธินี่ตัวไออุ่น ตัววิญญาณตัวนั้นน่ะมันเผาไหม้ไง มันทำให้อาหารนี่ไม่บูดไม่เน่า อาหารของเรานี่ เวลาเราอุ่นไว้มันจะไม่ค่อยเสีย ถ้าเราไม่อุ่นไว้ เก็บไว้มันจะเสีย ร่างกายนี้ถ้ามีหัวใจอยู่ในร่างกายนะ มีหัวใจปฏิสนธิในร่างกายน่ะ จากท้องพ่อท้องแม่นี่มันก็พัฒนาขึ้นมา จนเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา จนคลอดออกมา เห็นไหม

อันนี้ก็เหมือนกัน อาหารที่เราอุ่นไว้นี่มันก็ไม่เสียหาย ถ้าเราไม่อุ่นไว้มันก็เสีย พอจิตออกจากร่างกาย ร่างกายนี้ก็เสีย พอจิตออกจากร่างกาย เห็นไหม ๓ วัน ๔ วันนี่เน่าเสียหมดเลย ร่างกายนี้เสียหมด นี่จิตเป็นไออุ่นอันนั้นที่เกิดมาในนั้น มาในร่างกายนี้ ไออุ่นอันนี้ถึงสำคัญไง ลูกของเรา เลือดเนื้อเชื้อไขของเราน่ะ เป็นลูกของเรา ไปหาหมอ หมอเก็บกรรมพันธุ์นี่ มันจะกรรมพันธุ์ของพ่อแม่ เป็นกรรมพันธุ์ของพ่อแม่เลย แต่นิสัยไม่เหมือนพ่อแม่ บางคนนิสัยดีกว่าพ่อแม่ บางคนนิสัยพอกับพ่อแม่ บางคนนิสัยพ่อแม่เอาไว้ไม่อยู่เลย เพราะอะไร?

เพราะจิตดวงนั้นมันสะสมมา บุญกุศลสร้างมา มันถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติขึ้นมานี่ มันถึงว่าเป็นอริยทรัพย์ไง เพราะเรามีมนุษย์สมบัติขึ้นมา เราถึงได้หาผลประโยชน์ทางโลกได้ คนหยาบ ๆ เขามองกันแค่นั้นน่ะ หาผลประโยชน์ทางโลก

อันที่พูดนี่เพราะหลักศาสนามันแจงออกมา ถ้าหลักศาสนาไม่แจงออกมาเราจะไม่รู้เรื่องตรงนี้เลย เราจะไม่เห็นเรื่องนี้ เกิดมาแล้วก็เกิดมา ใช้ชีวิตชีวิตหนึ่งหมดไป นี่ใจมันหยาบขึ้นมาเห็นไหม ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เขาทำลายกัน เขาหาอยู่หากิน เขาเห็นได้มานี่ เขาสนุกรื่นเริงนะ เขาไปจับปูจับปลามา เขามีความสุขมาก เขามีความพอใจมากว่าเขามีความสนุกสนานด้วย เขาได้อาหารด้วย เขามีความสนุกสนานเพลิดเพลินด้วย

แต่คนถ้าใจมันละเอียดขึ้นมานี่ มันทำไม่ลงหรอก ชีวิตเราเราก็รัก ชีวิตเขาเขาก็รัก ชีวิตทุกคนทุกคนรักเหมือนกัน นี่จิตใจคนไปพัฒนาขึ้นมาหยาบละเอียด คนจิตใจหยาบ ๆ ก็คิดประสาหยาบ ๆ ของเขาไป คนจิตใจละเอียดขึ้นมาก็คิดขึ้นมาละเอียดขึ้นไป แล้วของเรานี่จิตใจละเอียดอ่อนขึ้นมา เพราะอะไร? เพราะเราสำนึกในบุญกุศล บุญกุศลพาให้เรามาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัตินี่สำคัญที่สุด

แล้วเรามาต่อบุญกุศลของเราเพื่อมนุษย์สมบัตินี่ ถึงมีมนุษย์สมบัติหนึ่งนะ ให้มนุษย์สมบัตินี่ตายไปแล้วยังได้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหมขึ้นไปหนึ่ง สองบุญกุศลทำนี้ความสุขในหัวใจนี่ คน ๒ คน คนหนึ่งเป็นคนดี อีกคนหนึ่งเป็นคนพาลนี่ ผู้ใหญ่เขาจะคบคนไหน เขาต้องคบคนดีใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน คนที่ใฝ่บุญกุศลนี่ เขาต้องคบคนที่ใฝ่บุญกุศล เราใฝ่บุญกุศลนี่คนคบเราก็คบเราอย่างนั้น เรามีความสุขในหัวใจของเรา เรามีความสุข เราต้องแสวงหาความสุขของเราในหัวใจของเรา ในหัวใจของเราเกิดขึ้นมาเพราะมันทำได้ยาก ทำงานแบกหามนี่เราทำว่าเป็นการเป็นงานขึ้นมา งานบุญกุศลการสละออกไปของใจนี่มันเป็นสิ่งที่ว่าสละออกไป มันหยาบ ๆ ไง ความทำบุญกุศลนั้นเป็นบุญกุศลมหาศาลขนาดไหน? มหาศาลมากนะ เพราะอะไร? เพราะหัวใจมันใฝ่หาไง หัวใจมันเรียกร้องไง

อาหารกายกับอาหารใจ เห็นไหม อาหารที่ตักใส่ปากนี่เรากินแล้วอิ่มท้อง อาหารใจนี่มันขัดข้อง มันหมองใจ มันดิ้นรน มันส่ายแส่ แล้วมันไม่เคยพอใจมันเลย แล้วอะไรจะทำให้มันพอใจล่ะ? ไม่มีสิ่งใดพอใจนะ อยากเที่ยวอยากสนุก ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปประสามันตลอดของมันไป มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก กลับมามีแต่ความแห้ง ความหิวโหยในหัวใจ แต่การทำทานขึ้นมานี่ มันทำไมมีความสุขขึ้นมาล่ะ? มันมีความพอใจขึ้นมาล่ะ?

นี่ทาน บุญกุศลนี่มันกินบุญกุศล แล้วบุญกุศลนี่เราหาไม่เจอ เพราะอะไร? เพราะความตระหนี่ถี่เหนียวกิเลสมันปิดบังไว้ กิเลสมันปิดใจไว้ไม่ให้ใจเห็นไง ว่าสิ่งนี้ทำไมเราต้องไปให้ เป็นพระ พระก็มีมือมีเท้าทำไมพระไม่ทำมาหากินเอง นี่พระไม่มีอาชีพ ในการบวชนี่เห็นไหม สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งของตัวเอง ผู้ที่ไม่ประกอบอาชีพ เขาทำอาหารให้สุกเองไม่ได้

ทำอาหารให้สุกน่ะอย่างข้าวดิบมาต้มให้สุก พระทำเองนะเป็นอุคคหิต พระฉันไม่ได้ ทำไม่ได้เลย มันเป็นอาบัติด้วย พระนี่ทำของจากดิบให้เป็นของสุกไม่ได้ พระนี่ปรุงรสอาหารไม่ได้ ทำทุกอย่างไม่ได้เลย ตามวินัยบังคับไว้อย่างนั้น แล้วคนที่ไม่มีอาชีพเห็นไหม แต่ถ้าเรามองกันหยาบ ๆ น่ะเราไม่รู้ เรามองแต่เรื่องของมนุษย์ เรื่องของภพชาติ พระก็มีมือมีเท้าเหมือนกัน ทำไมพระไม่ทำกินเอง พระทำกินเองก็ได้ทำไมเราต้องไปแสวงหา

แต่นี้พอบวชขึ้นมานี่ ในวินัยบอกแล้ว ในจตุตถกรรมญัตติขึ้นมาเป็นพระขึ้นมานี่ ในสมมุติสงฆ์ ต้องดำรงชีวิตในสมณะ ในสมณะนั้นหาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ความหาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง แล้วแต่สักแต่ได้มา แล้วเราให้ชีวิตกับคนอย่างนั้นหนึ่ง แล้วคนอย่างนั้นน่ะ พระภิกษุที่พระพุทธเจ้าให้ทำอย่างนั้นน่ะ เขาหาอาหารใจ เขาไม่เดือดร้อนในการที่ว่าเราแสวงหา เรานี่ทุกข์ยากกันมาก เราทุกข์ยากเพื่อหาปัจจัย ๔ มาเป็นสมบัติของเรา แต่พระท่านตัดสิ่งนั้นออก ท่านไม่ทุกข์ยากสิ่งนั้น ท่านพยายามทำสิ่งนั้นให้ออกไปจากใจ แล้วแสวงหาดำรงชีวิตด้วยปลีแข้ง ด้วยเราอุทิศส่วนกุศลให้

แล้วเป็นผู้มีศีล เป็นผู้ทรงศีลแล้วผู้ทรงธรรมด้วย เป็นเนื้อนาบุญของโลก ถ้าหัวใจคนเปิดขึ้นมานี่ เป็นเนื้อนาบุญของโลก เราหว่านสมบัติลงไปในเนื้อนาบุญนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ ได้เงินมานี่ให้แบ่งเป็น ๔ ส่วน ให้ประกอบอาชีพลงทุนส่วนหนึ่ง เลี้ยงชีวิตส่วนหนึ่ง เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งฝังดินไว้ การที่ฝังดินไว้นี่เราฝังดินไว้ หว่านพืชลงไปในเนื้อนา เนื้อนาที่ไหนเราควรจะฝังไว้ ฝังไว้มันก็เป็นบุญกุศลกลับเข้ามาหาเรา

ถ้าเห็นว่าเป็นผู้ทรงศีลทรงธรรม ถ้ามีศีลมีธรรมในหัวใจนั้น เป็นปฏิคาหกรับด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง เรามีความบริสุทธิ์ผุดผ่องเราตั้งใจให้ ออกจากบ้านมาเราตั้งใจให้ ขณะให้เราก็ตั้งใจให้ ขณะที่เราให้ทานไป เราให้ด้วยความพอใจของเรา ให้แล้วมีความอิ่มใจ ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ๓ อย่าง ผู้รับรับด้วยความบริสุทธิ์ เห็นไหม ฉันด้วยความบริสุทธิ์ แล้วฉันเสร็จแล้วทำคุณงามความดีของใจดวงนั้นไป นี่พระเจ้าพิมพิสารบอกกับเจ้าชายสิทธัตถะว่า “ออกปฏิบัติแล้วนี่ ได้โมกขธรรมแล้ว ให้มาสอนด้วย”

พระเหมือนกัน พระเป็นผู้ใฝ่หา เป็นผู้หาหลักของใจ ใจที่มันวอกแวกวอแวในใจของเรานี่ ไม่ต้องไปถามใครเลยว่าใจนี่เอาไว้ยากหรือง่าย เพราะใจมันอยู่ในหัวใจของเรา เราบังคับใจเราได้ไหม แล้วพระนี่พยายามบังคับใจของเรา ให้ทำความสงบขึ้นมาให้ได้ พอจิตนั้นสงบแล้ววิปัสสนาขึ้นมา จนเห็นกิเลสที่ว่าบังคับให้เราเชื่อในทางที่ผิดน่ะ กิเลสในทางที่ผิดคือมันบังคับให้เราคิดเห็นในทางที่ขัดแย้ง ทางที่โต้แย้งการจะทำบุญกุศลนี่

กิเลสมันต้องการให้สัตว์นี่ตกต่ำ ต้องการให้สัตว์อยู่ในอำนาจของมัน สัตว์นี่ตายเกิด ๆ แล้วมันอยู่บนหัวใจของสัตว์โลก มันอาศัยหัวใจของสัตว์โลกเป็นบ้านเรือน เป็นที่อยู่อาศัย มันถึงไม่ต้องการให้หลุดออกไปไง

ทำบุญกุศลขึ้นมา ทำให้เข้าใกล้กับผู้ทรงศีล ผู้ทรงศีลแสดงธรรม ธรรมอันนั้นน่ะมันจะทำให้เราเห็นหน้าของกิเลส ธรรมอันนั้นทำให้เราเข้าใจว่าความตระหนี่ถี่เหนียวก็เป็นความคิดของเรา เป็นอกุศล เป็นความคิดฝ่ายไม่ดี ความอยากจาคะ อยากสละออกเพื่อเป็นบุญกุศลเข้ามาให้ถึงใจของตัวเอง ถ้ามีบุญกุศลขึ้นมานี่มันจะเห็นหน้าของกิเลสไง กิเลสมันถึงพยายามปิดบังไม่ให้เราเห็นหน้าของมัน มันเป็นอวิชชาที่พาเกิดพาตายขึ้นมา

อวิชชานี้อาศัยจิตอยู่ จิตนี้ตายเกิด ๆ มา มันเป็นจิตที่ว่าสิ่งที่ไม่เคยตาย สิ่งที่หมุนไปตลอดเวลา มันแสวงหาที่เกิดของมันตลอดเวลา แต่หัวใจที่ปิด อวิชชาที่ปิดหัวใจไว้นี่กิเลสพาเกิดพาตาย พาเกิดพาตายแล้วให้เวียนอยู่ในวัฏฏะ ให้อยู่ในวงของทุกข์ไง

แต่ธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เห็นไหม ให้ทำลายอวิชชาจนเป็นวิชชา วิชชาความรู้ความเข้าใจ พอความเข้าใจความเห็นประโยชน์ของตน ความเห็นประโยชน์ของจิต จิตดวงนั้นก็จะแสวงหาคุณงามความดี คุณงามความดีว่าเกิดมาเป็นมนุษย์สมบัติแล้วสิ่งที่เป็นอาชีพ เป็นสัมมาอาชีวะ นั้นว่าปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย เราก็อยู่อาศัยไป

เปิดตาข้างหนึ่งขึ้นมา เป็นคนดีนี่ผู้ใหญ่ก็ชม แล้วเราก็มีความสุขอบอุ่นในหัวใจของเราชั้นหนึ่ง ตาดวงหนึ่งเปิดขึ้นมาแล้ว ตาอีกดวงหนึ่งภพชาติหน้า ความเกิดความตายของหัวใจต้องหมุนเวียนไปอีก มันจะพาเกิดพาตายไปถึงที่ว่าให้มันเจริญรุ่งเรืองขึ้นไป ไม่ให้มันทุกข์ยากอย่างที่เราเห็น ๆ อยู่ คนที่ทุกข์ยากคนที่ลำบากกว่าเราก็มีอีกมากมาย คนที่เจริญกว่าเราก็มีอีกมากมาย

เพราะอะไร? เพราะกรรมการกระทำของเขานี่ การให้ทานที่เขาทำบุญทำกุศลนี่ อันนั้นน่ะเข้าถึงหัวใจของเขา แล้วเราศึกษาอันนี้ เราเข้าใจอันนี้ เราแสวงหาอย่างนั้นบ้าง เราทำไมทำไม่ได้ ถ้าเราทำได้มันก็เป็นหลักประกันของเรา แล้วมันเป็นหลักประกันของหัวใจ นี่พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น มันเป็นความจริงนะ อยู่ในพระไตรปิฎก ศึกษากันมา ครูบาอาจารย์ทำตาม ๆ กันมา ๒,๕๔๔ ปี ยังพยายามประพฤติปฏิบัติมาให้เข้าถึงใจ

อันนั้นเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนึ่ง เป็นธรรมของครูบาอาจารย์หนึ่ง แล้วสิ่งที่ว่าเป็นธรรมของเรานี่ เราสัมผัสของเราเอง สุขทุกข์เราสัมผัสของเราเอง แล้วเรามีความสุขขึ้นมานี่มันสัมผัสธรรมของเราเอง อันนี้เป็นปัจจัตตัง ถ้าเป็นปัจจัตตังเกิดขึ้นมาจากใจขึ้นมา จะเห็นคุณประโยชน์ของการสละออกอย่างนี้หนึ่ง ทาน ศีล ภาวนาไง

ศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้จิตใจเรามีที่พึ่งอาศัย คนฉลาดต้องหาที่อยู่ของเราให้ได้ คนฉลาดต้องหาเครื่องอยู่ของใจให้ได้ อาหารของกายนี่เราต้องแสวงหาไปธรรมชาติของมัน อาหารของใจนี้ถ้าเราไม่แสวงหา ไม่มีใครทำให้เราได้เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาเป็นพระอรหันต์เราก็เห็นอยู่ เห็นไหมในพระไตรปิฎก ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เราก็ตามทันอยู่ ครูบาอาจารย์ของเราที่ประพฤติปฏิบัติมา เป็นพระที่ดีขึ้นมา เราก็เห็นอยู่

แต่ถ้ามันไม่เปิดรับ มันไม่ยอมรับรู้ มันก็ปิดไว้เฉย ๆ แต่ถ้าหัวใจมันเปิดขึ้นมา มันยอมรับ เห็นไหม มันยอมรับแล้วสิ่งที่จะได้ประโยชน์ขึ้นมาคือกิริยาการกระทำของเรานี่แหละ เราสร้างบุญกุศลขึ้นมา เราทำทาน ศีล ภาวนา แล้วทำภาวนาขึ้นมา ปัญญาเกิดขึ้นมาจากใจของเรา เป็นประโยชน์ของเรา หัวใจของเราจะเบิกบานขึ้นมา เป็นความสุขของเราในหัวใจของเรานะ

นี่ทาน ศีล ภาวนา เป็นที่พึ่งของเรา เป็นบันไดเป็นทางเดินของเรา ถึงที่สุดแล้วทาน ศีล ภาวนา เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เป็นทางผ่าน เราก็วางไว้กับโลกนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ พระไตรปิฎกก็วางเรื่องนี้ไว้ แล้วเราก้าวเดินตามไป ใจถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรม เห็นธรรมคือเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นธรรมคือเห็นความสุขในหัวใจของเรา อันนั้นจะเป็นเครื่องยืนยันของใจแต่ละดวง เอวัง